หน้าหลัก สื่อ/ประชาสัมพันธ์ ข่าวกรมการขนส่งทางบก ข่าวประชาสัมพันธ์ จำนวนเข้าชม 16 ครั้ง วันที่ 25 มีนาคม 2565 กรมการขนส่งทางบก ชวน!!
เนื่องจากรถ EV Car ต้องใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อน 100% แบตเตอรี่จึงเป็นหัวใจหลัก ซึ่งเมื่อถูกชาร์จแล้วจะเก็บพลังงานไว้ ก่อนส่งต่อผ่านตัวแปลงไปยังมอเตอร์ไฟฟ้า และส่งไปยังเพลาขับเคลื่อน โดยแบตเตอรี่ที่ใช้คือ "ลิเธียมไอออน" สามารถเก็บพลังงานได้มากที่สุดและมีอายุการใช้งานนาน ดังนั้น ระบบกักเก็บพลังงานที่มีคุณภาพจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ ซึ่งในปัจจุบันเทคโนโลยีก้าวหน้าไปมาก แบตเตอรี่ได้ถูกพัฒนาและออกแบบให้มีอายุการใช้งาน ทนทานและนานขึ้น และแนวโน้มต้นทุนราคาของแบตเตอรี่ไฟฟ้าลดลง ยกตัวอย่าง การพัฒนาแบตเตอรี่ของทางสถาบันนวัตกรรม ปตท. นำความเชี่ยวชาญด้านระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System: ESS) บวกกับความเชี่ยวชาญด้าน Battery Management System (BMS) เพื่อให้สามารถนำไปใช้งานได้อย่างเหมาะสมและปลอดภัย และยังสามารถพัฒนาระบบกักเก็บพลังงานสำหรับที่พักอาศัย (Residential ESS) โดยจะเก็บพลังงานไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เซลล์ที่เหลือใช้ในช่วงเวลากลางวัน นำไปใช้ในช่วงเวลาที่ต้องการ และสำรองจ่ายไฟฟ้าเมื่อเวลาไฟดับได้ ซึ่งจุดเด่นก็คือ ระบบจะกักเก็บพลังงานแบบ All in One มีระบบอินเวอร์เตอร์ภายในขนาด 5 kW สามารถต่อแผงโซลาร์เซลล์ได้โดยตรง แบตเตอรี่ Li-Ion (ลิเธียมไอออน) ขนาด 13.
หากต้องการใช้รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่วิ่งบนท้องถนนได้นั้น ต้องไปจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกก่อน โดยรถที่จดทะเบียนได้ต้องมีกำลังมอเตอร์มากกว่า 250 วัตต์ขึ้นไป และความเร็วสูงสุดไม่น้อยกว่า 45 กม. /ชม. สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่ กรมการขนส่งทางบก รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าลุยน้ำได้ไหม? รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่ผ่านมาตรฐาน IP5 ขึ้นไป (มาตรฐานที่บอกถึงระดับการป้องกันฝุ่นและน้ำของเครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้า) จะมีการออกแบบให้ตัวมอเตอร์กันน้ำและฝุ่นได้ สามารถขับขี่ท่ามกลางสายฝน ลุยน้ำท่วมขัง ตากแดด ตากฝน รวมถึงยังล้างได้ด้วย แต่ก็ควรรีบเช็ดทำความสะอาดให้แห้งโดยทันทีหลังจากที่เปียกน้ำ แบตเตอรี่และการชาร์จรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ ถือเป็นหัวใจสำคัญของรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า เพราะเป็นตัวกักเก็บพลังงานตุนเอาไว้ ซึ่งระยะเวลาในการชาร์จแต่ละครั้งก็จะขึ้นอยู่กับความจุ วิธีการชาร์จ และสเปกของรถแต่ละรุ่น หากชาร์จน้อยก็วิ่งได้สั้น แต่ถ้าชาร์จเต็มความจุแล้ว บางรุ่นสามารถวิ่งได้ไกลประมาณ 150 กม. เลยทีเดียว ดังนั้น ก่อนจะเลือกซื้อมาใช้งานในชีวิตประจำวันก็ต้องคำนึงถึงเรื่องความคล่องตัวในการชาร์จ รวมถึงต้องวางแผนการเดินทางแต่ละครั้งให้ชัดเจน เพื่อจะได้คำนวณปริมาณการใช้แบตเตอรี่ได้อย่างเพียงพอ โดยทั่วไปแล้วการชาร์จแบตเตอรี่มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าสามารถทำได้หลายวิธี คือ แบบมีสาย เพียงเสียบปลั๊กเข้ากับไฟบ้านก็สามารถชาร์จไฟเข้ารถได้โดยตรง ใช้ระยะเวลาประมาณ 1-8 ชม.
จำกัด (มหาชน), เฟซบุ๊ก Swap and Go,,,,, เฟซบุ๊ก NIU Thailand,,, เฟซบุ๊ก Edison Motors, เฟซบุ๊ก Deco Green Energy,,
/ชาร์จ: กรุงเทพฯ-พิจิตร รุ่น SEL วิ่งได้ไกลสุด 546 กม. /ชาร์จ: กรุงเทพฯ-ยโสธร 8. BYD e6 ราคา 1, 890, 000 บาท ที่ดูเงียบ ๆ เพราะ BYD เน้นเจาะตลาดกลุ่ม Fleet car เป็นหลัก แต่ก็มีจำหน่ายสำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลเช่นกัน มาในสไตล์ตัวถังแวกอน 5 ที่นั่ง วิ่งได้ไกลพอสมควร เพราะใช้แบตเตอรี่ขนาดความจุสูง วิ่งได้ไกลสุด 400 กม. /ชาร์จ: กรุงเทพฯ-กำแพงเพชร 9. Audi e-Tron ราคา 5, 099, 000 บาท จับตลาดบนโดยเฉพาะ เพราะคนธรรมดาถ้วนทั่ว ทั่วไปในระดับ Mass คงไม่มีใครเอื้อมถึงได้ถ้าไม่มีโชคช่วย แต่สำหรับลูกค้าฐานะมั่งคั่ง Audi e-Tron เป็นอะไรที่น่าสนใจ เพราะอย่างน้อยจะได้กล้องมองข้างแทนกระจกไว้อวดเพื่อนฝูง วิ่งได้ไกลสุด 500 กม. /ชาร์จ: กรุงเทพฯ-อุตรดิตถ์ 10. Jaguar i-Pace ราคา 5, 499, 000-6, 999, 000 บาท เหนือฟ้ายังมีฟ้า ตลาดบนกว่า Audi e-Tron ยังมี Jaguar i-Pace เปิดตัวในไทยด้วยราคาสุดโหด ถ้าไม่รักแบรนด์ค่ายเสือเผ่นนี้จริง อย่าว่าแต่เสือคนก็อาจเผ่นด้วยเช่นกัน วิ่งได้ไกลสุด 543 กม. /ชาร์จ: กรุงเทพฯ-ยโสธร ทั้งนี้ระยะทางวิ่งสูงสุดของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเหล่านี้ เราได้อ้างอิงตัวเลขตามมาตรฐานการทดสอบ NEDC ของยุโรปให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด ดังนั้นอาจแตกต่างจากตัวเลขจากผู้ผลิตที่ใช้มาตรฐานอื่น เช่น WLTP แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ "การใช้งานจริง" ด้วยปัจจัยและสภาพแวดล้อมหลากหลาย รถยนต์พลังงานไฟฟ้าเหล่านี้จะวิ่งได้ "สั้นลง" กว่าตัวเลขทดสอบอีกเยอะพอสมควร ภาพจาก Mine Mobility, Kia, Hyundai, Byd และ Audi