ส.
อาการปวดหลังของคุณแม่ที่กำลัง ตั้งครรภ์ มักจะเป็นกันแทบทุกคน โดยเฉพาะในช่วงของอายุครรภ์ที่มากขึ้น หรือเป็นช่วงไตรมาสที่ 3 เพราะในช่วงนี้เป็นช่วงที่คุณแม่ต้องแบกรับน้ำหนักของทารกในครรภ์ที่พร้อมจะคลอดนั่นเอง ซึ่งอาการปวดลักษณะนี้จะปวดอยู่ตรงบริเวณเชิงกราน บางครั้งก็ลามไปยังบริเวณก้นกบด้วย วิธีแก้อาการปวดหลังของคุณแม่ระหว่างตั้งครรภ์ สำหรับวิธีแก้อาการปวดนั้น คุณแม่สามารถปรับพฤติกรรมใหม่ได้ดังนี้ค่ะ 1. การนั่ง คุณแม่ที่มีอาการปวดหลังขณะที่ตั้งครรภ์ ควรหลีกเลี่ยงการนั่งหลังงอ เพราะจะทำให้อาการปวดเป็นหนักขึ้นกว่าเดิม หากนั่งไม่ถนัดอาจจะใช้หมอนหนุนช่วย 2. การ นอน การนอนตอนกลางคืน คุณแม่ที่ตั้งครรภ์ควรจะมีหมอนสำหรับหนุนระหว่างเข่าไว้ด้วย เพื่อให้การนอนอยู่ในท่าที่ถูกต้อง และในขณะที่ต้องลุกจากที่นอน ให้ใช้มือทั้งสองข้างพยุงตัวเอาไว้ก่อนแล้วดันท้องขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการเกร็งตรงกล้ามเนื้อหลัง และป้องกันไม่ให้เกิดอาการปวดหลัง 3. เลี่ยงการยกของ หนัก การยกของหนักจะทำให้กล้ามเนื้อตรงบริเวณหลังและหน้าท้องเกิดอาการเกร็ง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดหลัง หากมีความจำเป็นต้องยก ให้ย่อเข่าลงเล็กน้อยก่อนที่จะยก เพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อตรงหน้าท้องเกร็งมากเกินไป 4.
ปวดท้องน้อยหลังคลอด 6 เดือน อันตรายไหม เพราะอาจเป็นไปได้ว่าอาการปวดท้องน้อยที่เป็นอยู่นั้นมีเหตุผลมาจากปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ที่อาจจะเป็นอันตรายหรือไม่มีอันตรายก็ได้
ท่า Cat – Cow Pose ช่วยลดอาการปวดหลัง เสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อหลัง และช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อต้นคอ วิธีทำ แยกเข่าทั้งสองออกห่างกันเท่าช่วงไหล่ เงยศรีษะขึ้น แอ่นเอวให้มากที่สุด แล้วนับในใจ 3-5 รอบของการหายใจเข้า-ออก ก้มศรีษะลงจนคางชิดหน้าอก โก่งหลังให้มากที่สุด และก้มหน้าให้ต่ำที่สุด หายใจออก กดท้องเข้าหาสะดือ แอ่นอกลง เงยหน้าขึ้นมองที่เพดาน ทำวนซ้ำ 3-5 รอบ 2. ท่า butterfly ช่วยยืดเส้นที่ขา แขน เอวและหลัง ป้องกันการเป็นตะคริว นั่งลำตัวและหลังตั้งตรง หันฝ่าเท้าชนกันทั้งสองข้าง เปิดเข่าออกไปด้านนอก พยายามให้เข่าอยู่ติดพื้นให้มากที่สุด เอามือจับที่ข้อเท้าทั้งสองข้าง หายใจผสานการยืดและผ่อนคลาย หายใจเข้าช้าๆ ยืดอกเต็มที่ ต่อมาหายใจออกค่อยๆ ก้มตัวลง หน้าผากชิดปลายเท้าเท่าที่ทำได้ ค้างสักครู่ หายใจเข้าเงยหน้าขึ้น ทำซ้ำ 2-3 ครั้ง 3. ท่า leg stretching ช่วยลดอาการปวดตึงที่ขา ลดอาการการเป็นตะคริว เหยียดขาซ้ายออกมา พับเข่าขวาประกบเท้าแตะที่ต้นขาซ้าย ใช้เชือกหรือเข็มขัด คล้องที่ฝ่าเท้า จากนั้นให้พยายามยืดต้นขา ยืดใต้หัวเข่า ยืดที่น่อง โดยการเหยียดขาให้ตรงที่สุด และหายใจเข้ายืดลำตัว หายใจออกออกแรงเหยียดขาให้ตรง 4.
อาการปวดหัวหน่าวหลังคลอด อันตรายไหม? โดยทั่วไปแล้วอาการปวดหัวหน่าวหลังคลอดถือเป็นอาการปกติ การบรรเทาอาการปวดเบื้องต้นสามารถช่วยให้อาการปวดลดลง และอาการปวดก็จะค่อย ๆ ทุเลาลงจนหายเป็นปกติ 2. ปวดจิมิหลังคลอด เมื่อไหร่จะหาย? คุณแม่แต่ละท่านมีพื้นฐานสุขภาพที่แตกต่างกัน ดังนั้น การฟื้นตัวก็จะแตกต่างกันตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้วอาการปวดบริเวณมดลูก ช่องคลอด หรืออวัยวะเพศ ควรจะค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับตั้งแต่ช่วง 3 วัน หรือหนึ่งสัปดาห์หลังคลอด 3. ปวดเชิงกรานหลังคลอด อันตรายไหม? ขณะคลอด อาจทำให้กระดูกเชิงกรานเสียหายได้ เช่น กระดูกก้นกบหัก จึงส่งผลให้รู้สึกปวดที่เชิงกราน อย่างไรก็ตาม อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับและค่อย ๆ หายปวดไปเอง 4. ปวดท้องน้อยหลังคลอด 1 เดือน ปกติไหม คุณแม่แต่ละท่านมีพื้นฐานสุขภาพที่แตกต่างกัน ดังนั้น การฟื้นตัวก็จะแตกต่างกันตามไปด้วย อาการปวดท้องน้อยอาจนานแค่เพียงหนึ่งสัปดาห์ในคุณแม่บางราย แต่โดยทั่วไปแล้วอาการปวดจะคงอยู่ราว ๆ 4-6 สัปดาห์ 5. ปวดท้องน้อยหลังคลอด 3 เดือน ปกติไหม อาการปวดท้องน้อยควรจะนานที่สุดเพียง 1-2 เดือน หากพ้นจากนี้แล้วยังมีอาการปวดอยู่ ควรไปพบแพทย์ทันทีเพื่อเข้ารับการวินิจฉัยและรับการรักษาที่ถูกต้อง เพราะอาจเป็นไปได้ว่าอาการปวดท้องน้อยที่เป็นอยู่นั้นมีเหตุผลมาจากปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ที่อาจจะเป็นอันตรายหรือไม่มีอันตรายก็ได้ 6.
เพราะในช่วงสัปดาห์นี้ คุณหมอจะสั่งให้คุณแม่ตรวจคัดกรองเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นการตรวจที่ขึ้นชื่ออย่างหนึ่งของคนท้อง สำหรับหาว่าคุณแม่มีความเสี่ยงในการเป็นเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์หรือไม่ การตรวจนี้ออกแบบมาเพื่อเช็คกระบวนการจัดการน้ำตาลในร่างกายของคุณแม่ค่ะ โดยคุณแม่จะต้องดื่มของเหลวรสหวานที่เรียกว่า กลูโคลา (ชื่อคล้ายโคคาโคลาแต่ไม่ใช่นะคะ! ) จากนั้นก็รอประมาณหนึ่งชั่วโมง เมื่อถึงเวลา คุณหมอจะเจาะเลือดไปตรวจเพื่อดูว่าร่างกายของคุณแม่จัดการกับน้ำตาลเหล่านั้นอย่างไร หากคุณหมอพบว่าผลออกมาผิดปกติ คุณแม่อาจต้องเข้ารับการตรวจเพิ่มเติมที่เรียกว่าการทดสอบความทนทานต่อน้ำตาล คราวนี้ต้องนั่งรอลุ้นผลกันแล้วละค่ะ! การทดสอบนี้จะวัดการจัดการน้ำตาลในร่างกายของคุณแม่ในระยะเวลาสามชั่วโมง เพื่อตรวจว่าคุณแม่เป็นเบาหวานในระหว่างตั้งครรภ์จริงหรือไม่ ถ้าเป็นจริง ๆ ก็อย่าเพิ่งหมดอาลัยตายอยากนะคะ มันไม่ได้ร้ายแรงเสียทีเดียวค่ะ คุณหมอจะช่วยแนะนำว่าคุณแม่ควรปฏิบัติตัวอย่างไรต่อไป เพื่อให้การตั้งครรภ์ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่เป็นไปได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด นอกจากนี้ ทั้งคุณแม่และลูกน้อยจะต้องถูกจับตามองเป็นพิเศษ นั่นหมายถึงการอัลตราซาวนด์เพิ่มค่ะ ถ้ามองในแง่ดี อย่างน้อยคุณแม่ก็จะได้เห็นลูกบ่อยขึ้นนะคะ!